เปิดเส้นทางเด็กช่าง ครูช่างสู่เส้นทางธุรกิจ

เปิดเส้นทางเด็กช่าง ครูช่างสู่เส้นทางธุรกิจ นำพาไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย สู่ความเป็นมหาชน

นครปฐม – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมคลรัตนโกสินทร์ ศึกษาข้อมูลเส้นทางสู่ความเป็นมหาชน ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัท ไทย ออโต ทูลส์แอนด์ ดาย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์

เส้นทางเด็กช่าง ครูช่างสู่เส้นทางธุรกิจ “ดร.พยุง ศักดาสาวิตร” ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ ซึ่งในวันที่ 1 เมษายน ครบรอบ 30 ปี ไทย ออโต ทูลส์ ก้าวย่างที่มั่นคง…สู่การเติบโตที่ยั่งยืน สู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โลหะและชิ้นส่วนยานยนต์ของภูมิภาคเอเชียที่ได้รับการยอมรับระดับสากล

ออกแบบ

โดย ดร.พยุง สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ปัจจุบันได้รับเลือกให้เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงวุฒิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์

ดร.พยุง เผยว่า การตั้งบริษัทรับออกแบบและผลิตแม่พิมพ์โลหะขึ้นในปี 2536 บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด และกลุ่มบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ เป็นบริษัทของคนไทย 100% เชื่อมั่นในความเป็นอาจารย์ เชี่ยวชาญการผลิตแม่พิมพ์โลหะ

เนื่องจากมีประสบการณ์ในการสอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงมลคล วิทยาเขตนนทบุรี กว่า 20 ปี โดยมี นายบัณฑูร เหล่าสินชัย และนายคาวุธ หฤทัย ร่วมก่อตั้ง เริ่มจากพนักงานเพียง 10 คน ในช่วงแรกแม้จะมีวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” แต่บริษัทฯ ก็ค่อยๆ เติบโต ค่อยๆ สะสมความรู้จนมีความชำนาญสูงขึ้น

ในปี 2541 จึงขยายทำแม่พิมพ์โลหะขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มผลิตอุปกรณ์ตรวจสอบและอุปกรณ์จับยึด และย้ายโรงงานไปที่ Faccom Mini Factory “ตอนแรกงานยังไม่มากนัก โชคดีที่บริษัทไม่มีหนี้สินมาก และมีเงินเหลือเก็บอยู่บ้าง นโยบายช่วงนั้นคือ “กบจำศีล” คือใช้จ่ายให้น้อย ไม่เลือกงาน ทั้งแม่พิมพ์ชิ้นส่วน เหล็กตัด เป้าหมายเราคือเลี้ยงพนักงานให้อยู่ได้จากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้หลายแห่งปิดกิจการ แต่บริษัทฯ สามารถประคองธุรกิจไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม คลิ๊กเลย >> All-new Honda CR-V 2023 (1.5 TURBO / e:HEV) เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์

All-new Honda CR-V 2023 (1.5 TURBO / e:HEV) เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์

All-new Honda CR-V 2023 (1.5 TURBO / e:HEV) เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์

All-new Honda CR-V 2023 (Gen 6) ใหม่ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยที่รอบ VIP ของงาน Bangkok International Motor Show 2023 วันที่ 20 มีนาคมนี้ พร้อมเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร VTEC TURBO และไฮบริด e:HEV 2.0 ลิตร

ฮอนด้า ประเทศไทย ประกาศเตรียมเปิดตัว “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” เจเนอเรชันที่ 6 ใหม่ ในงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์ 2023 (Motor Show 2023) ซึ่งจะจัดรอบบุคคลทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2566 นี้ พร้อมเผยว่าจะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC TURBO และฟูลไฮบริด e:HEV 2.0 ลิตรเป็นครั้งแรก รวมถึงติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อยเช่นเดียวกับ Civic และ Accord รุ่นปัจจุบัน

All-new Honda

All-new Honda CR-V ใหม่ ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกา โดยมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ VTEC TURBO ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson-cycle 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

ระบบ Honda SENSING ที่ติดตั้งลงใน Honda CR-V สำหรับวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ทำงานผ่านกล้องมุมกว้าง 90 องศา และเรดาร์ที่ติดตั้งไว้ด้านหน้ารถ ซึ่งระบุว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงเส้นแบ่งถนน, ขอบทาง, ผู้ใช้จักรยาน, ผู้ใช้จักรยานยนต์ และป้ายจราจร เพิ่มเติมด้วยระบบ Traffic Jam Assist (TJA), Low-Speed Braking Control และระบบ Traffic Sign Recognition (TSR) รวมถึงปรับปรุงการทำงานของระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) with Low-Speed Follow และ Lane Keeping Assist (LKAS) เพื่อให้ตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ประกอบด้วย ไฟหน้าแบบ LED, ไฟท้ายแบบ All-LED, ล้ออัลลอยขนาด 18 – 19 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย), หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว, หน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 7 นิ้วในรุ่นล่าง และ 9 นิ้วในรุ่นบน, ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ช่องจ่ายไฟ USB-A / USB-C, ที่ชาร์จไฟไร้สายขนาด 15W และเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง เป็นต้น

ส่วนรายละเอียดของ Honda CR-V 2023 เวอร์ชันไทยติดตามได้อีกครั้งภายหลังจากการเปิดตัว

อ่านข่าวออกแบบที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : Samsung Galaxy S23 | S23+ | S23 Ultra ซื้อรุ่นไหนดี ?

Samsung Galaxy S23 | S23+ | S23 Ultra ซื้อรุ่นไหนดี ?

Samsung Galaxy S23 | S23+ | S23 Ultra ซื้อรุ่นไหนดี ?

เปิดตัวทางการในบ้านเราเรียบร้อยแล้วสำหรับ Samsung Galaxy S23 Series เรือธงประจำปี 2023 จากทาง Samsung ที่มาแบบจัดเต็ม 3 รุ่น เช่นเคย ได้แก่ Samsung Galaxy S23, S23+ และ S23 Ultra ที่ปรับโฉมดีไซน์ใหม่ และอัปเกรดคุณสมบัติตัวเครื่องจากเดิมในหลายด้าน หลาย ๆ คนอาจเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วเราควรซื้อรุ่นไหนดี ? วันนี้ทางทีมงานจะมาสรุปจุดเด่นในแต่ละรุ่นของ Samsung Galaxy S23 Series ให้ได้ชมกันว่าควรซื้อรุ่นไหนดี หากพร้อมแล้วไปชมกันเลยค่ะ

เรือธงสองพี่น้องที่มีการปรับดีไซน์ใหม่ สวยพรีเมียมแบบมินิมอล ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความแข็งแกร่งด้วยกระจกป้องกันเวอร์ชันใหม่ล่าสุด แถมด้วยคุณสมบัติกันน้ำ และประมวลผลด้วยชิปเซ็ตรุ่นท็อปที่ปรับแต่งให้เข้ากับรุ่นนี้โดยเฉพาะอย่าง Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy อีกทั้งยังทำงานได้ลื่นไหลด้วยฟีเจอร์เพิ่ม RAM + อัปเกรดมาตรฐาน ROM ใหม่ล่าสุดที่อ่าน-เขียนข้อมูลเร็วขึ้น ทางด้านความบันเทิงก็ตอบโจทบ์ด้วยจอสีสวมคมชัดขนาดใหญ่ และใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่มีเพิ่มขึ้น พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สำหรับการถ่ายภาพก็อัปเกรดให้ถ่ายภาพสวยทุกสภาพแสง

– หน้าจอ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.6 นิ้วตามลำดับ คมชัดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล) พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุด 1750nits รองรับฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 48-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2 ใหม่ล่าสุด
– ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy
– RAM LPDDR5X + ROM มาตรฐาน UFS 4.0 (เว้น S23 รุ่น 128GB จะเป็นมาตรฐาน UFS 3.1)
– กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย

กล้องตัวหลัก 50MP (f1.8) เทคโนโลยี Dual Pixel AF รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS
กล้อง Ultra-Wide 12MP (f2.2) ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 120 องศา
กล้อง Telephoto 10MP (f2.4) รองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom พร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS
– S23 มีแบตเตอรี่ความจุ 3900 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 25W Super Fast Charging พร้อมระบบชาร์จไร้สาย 15W และฟังก์ชัน Wireless PowerShare
– S23+ มีแบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W Super Fast Charging พร้อมระบบชาร์จไร้สาย 15W และฟังก์ชัน Wireless PowerShare
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint
– การันตีอัปเดต Android OS นาน 4 ปี และแพทช์ความปลอดภัยนาน 5 ปี

Samsung Galaxy S23

Samsung Galaxy S23 | S23+ เหมาะกับใคร ?

Samsung Galaxy S23 | S23+ จะเหมาะกับท่านที่มีความต้องการใช้งานแบบทุกด้าน ไม่ว่าจะความบันเทิง หรือทำงาน พร้อมรองรับ 5G และใช้งานได้ยาวนาน มีระบบชาร์จเร็วใส่มาให้ ที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นแนวหน้าของวงการ แต่ก็ถือว่าเร็วพอในการใช้ชีวิตประจำวันในยุคนี้ อีกทั้งยังถ่ายรูปได้เทียบชั้นกล้องใหญ่ รวมถึงการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง ตอบโจทย์สายคอนเทนต์ยุคนี้ โดยท่านที่ชอบมือถือไซส์กำลังพอดีมือ S23 จะเป็นตัวเลือกที่ดี ส่วนใครเน้นจอใหญ่แบบสะใจ ใช้ได้ยาว ๆ รุ่น S23+ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

Samsung Galaxy S23 Ultra

เรือธงรุ่นท็อปสุดจากซีรีส์ที่แน่นอนว่าจัดเต็มแบบขั้นสุดในทุกทาง ตั้งแต่การดีไซน์ทรงเหลี่ยมแบบพรีเมียม ที่ต่างจากอีกสองรุ่นอย่างชัดเจน พร้อมหน้าจอขนาดใหญ่เต็มตา ลงขอบโค้งน้อยกว่ารุ่นก่อน ๆ เพิ่มพื้นที่การแสดงผล และยังมีปากกา S Pen ติดตั้งมาให้พร้อมในตัว รวมถึงระบบการถ่ายภาพที่อัปเกรดไปอีกขั้น ด้วยชุดกล้องหลังที่มากกว่า มากับเซนเซอร์ใหม่ และสามารถซูมได้ดีกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่ามากับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy พร้อมกับรุ่นความจุให้เลือกสูงสุดถึง 1TB และมีแบตเตอรี่มากที่สุดด้วยเช่นกัน

 

จุดเด่นของ Samsung Galaxy S23 Ultra

– หน้าจอ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ที่มีความโค้งมนน้อยกว่ารุ่นก่อน ขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว คมชัดระดับ QHD+ (1440×3088 พิกเซล) พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุด 1750nits รองรับฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 1-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2 ใหม่ล่าสุด
– ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy
– RAM LPDDR5X + ROM มาตรฐาน UFS 4.0 ความจุสูงสุด 1TB
– กล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย

กล้องตัวหลัก 200MP (f1.7) เทคโนโลยี Adaptive Pixel รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS
กล้อง Ultra-Wide 12MP (f2.2) ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 120 องศา
กล้อง Telephoto ตัวที่หนึ่ง 10MP (f2.4) รองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom พร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS
กล้อง Telephoto ตัวที่สอง 10MP (f4.9) รองรับการซูมแบบ 10x Optical Zoom พร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS
– แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W Super Fast Charging พร้อมระบบชาร์จไร้สาย 15W และฟังก์ชัน Wireless PowerShare
– ปากกา S Pen ในตัว
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint
– การันตีอัปเดต Android OS นาน 4 ปี และแพทช์ความปลอดภัยนาน 5 ปี

 

Samsung Galaxy S23 Ultra เหมาะกับใคร ?

Samsung Galaxy S23 Ultra เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหามือถือเรือธงที่มีการดีไซน์สวย ให้ความพรีเมียมขณะถือใช้งานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะความบันเทิงด้วยหน้าจอที่ใหญ่ หรือการทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแล็บท็อป และเสริมความคล่องตัวในการทำงานด้วยปากกาที่ติดตั้งมาในตัวเครื่อง ไม่ต้องหาซื้อแยก พร้อมใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ขาดใหญ่ มีระบบชาร์จเร็วมาช่วยย่นเวลาชาร์จ ที่สำคัญคือกล้องถ่ายภาพจัดเต็มในทุกด้าน ไม่ว่าจะภาพนิ่ง วิดีโอ หรือการซูม ที่ไกลเห็นพระจันทร์แบบชัด ๆ

อ่านข่าวออกแบบที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : TEAMG คว้างาน 9 โครงการ มูลค่า 472 ล้าน

TEAMG คว้างาน 9 โครงการ มูลค่า 472 ล้าน

TEAMG ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ บริษัทออกแบบชื่อดัง คว้างานใหม่ 9 โครงการ มูลค่ากว่า 472 ล้าน

ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ คว้างานใหม่ภาครัฐ-เอกชน 9 โครงการ มูลค่า 472 ล้านบาท สนับสนุนให้มีงานในมือ Backlog เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดันรายได้ปี 2565 เป็นไปตามเป้า ลุ้นประมูลงานใหม่ช่วงท้ายปี ชูจุดแข็งด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมก่อสร้างที่สามารถลดการใช้ทรัพยากร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐ

ดร.อภิชาติ สระมูล ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG เปิดเผยว่า ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา แทงมวยสเต็ป2 บริษัทฯ สามารถคว้างานประมูลโครงการต่างๆ จากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 472 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการคลี่คลายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สำหรับโครงการใหม่ที่สนับสนุนให้ TEAMG มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น จำนวน 9 โครงการ ประกอบด้วย

1.สัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยบริษัท

2.สัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างพร้อมบริหารโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์ บรมราชชนนี และพรานนก ของการไฟฟ้านครหลวง โดยบริษัท และบริษัท เอทีที คอนซัลแตนท์ จำกัด (ATT บริษัทย่อยของบริษัท)

ข่าวออกแบบ-วันนี้

3.สัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างพร้อมบริหารโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนต่อขยายตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี และถนนติวานนท์ ของการไฟฟ้านครหลวง โดยบริษัท และบริษัท ATT

4.สัญญาจ้างที่ปรึกษาโครงการจัดตั้ง/ร่วมทุนในบริษัทในเครือและให้คำปรึกษาในการบริหารจัดการหลังการจัดตั้ง/ร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องของการประปานครหลวง โดยบริษัท

5.สัญญาจ้างออกแบบอาคารศูนย์บริการสุขภาพนานาชาติ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ของกรมแพทย์ทหารเรือ กองทัพเรือ โดยบริษัท และบริษัท ทีม เอสคิว จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท)

6.สัญญาจ้างจัดหาและติดตั้งเครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อน เขื่อนลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ของกรมชลประทาน โดยบริษัท วิศวกรรมธรณีและฐานราก จำกัด (GFE บริษัทย่อยของบริษัท)

7.สัญญาจ้างจัดหาและติดตั้งเครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อน เขื่อนห้วยตาจู จังหวัดศรีสะเกษ) ของกรมชลประทาน โดยบริษัท GFE

8.สัญญาจ้างจัดหาและติดตั้งเครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อน เขื่อนมูลบน จังหวัดนครราชสีมา ของกรมชลประทาน โดยบริษัท GFE

และ 9.สัญญาจ้างจัดหาและติดตั้งเครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อน เขื่อนลำนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ของกรมชลประทาน โดยบริษัท GFE

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2565 บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเสนองานโครงการต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน หลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ และเอกชน ประกอบกับการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ขยายบริการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตของบริษัทฯ

อีกทั้งบริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี BIM และ Digital Twin ยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย สู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมชูจุดแข็งด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมก่อสร้างที่สามารถลดการใช้ทรัพยากร และใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในงานก่อสร้างและการดำเนินงานออกแบบ ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ทำให้ลดต้นทุน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โครงการเมกะโปรเจกต์ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนเริ่มทยอยประมูลโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเสนองานโครงการต่างๆ โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมก่อสร้างที่สามารถลดการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐที่ต้องการลดปริมาณมลภาวะเป็นพิษต่อโลก จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีงานในมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตตามเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้” ดร.อภิชาติ กล่าว